ประวัติ
หลวงพ่อกล่อม
เกิดราวปี พ.ศ.2400 ณ หมู่บ้านป่ากะพี้ หมู่ที่
4 ต.ท่ามะเฟือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ เป็นบุตรของพ่อชื่น
กับคุณแม่ไผ่ คำชื่น มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกัน
1 คน คือหลวงพ่อกล่อม และนายรอด คำชื่น น้องชาย
ในวัยเด็กครอบครัวฐานะยากจน
บิดามารดามักให้ไปเลี้ยงควายเป็นประจำทุกวัน
เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ
ดังนั้นหลวงพ่อกล่อมจึงได้ชักชวนน้องชาย ชื่อนายรอด
พากันหนีออกจากบ้านหวังไปผจญโลกข้างหน้า
หลังจากหนีออกจากบ้าน
หลวงพ่อกล่อมกับน้องชาย ได้ไปพบกับพระธุดงค์
2 รูป โดยบังเอิญ รูปหนึ่งชื่อว่าพระครุฑ อีกรูปชื่อ
พระเมฆ ซึ่งกำลังเดินทางไปทางใต้โดยล่องแพไปตามลำน้ำน่าน
หลวงพ่อกล่อมและน้องชาย จึงได้ขออาศัยลงแพร่วมเดินทางไปด้วย
เดินกันกันไปจนถึงเมืองบางกอก
พระธุดงค์ทั้งสองรูปได้พาหลวงพ่อกล่อมกับน้องชายไปฝากไว้วัดอนงคาราม เขตคลองสาน
(ปัจจุบันชื่อว่า
วัดอนงคารามวรวิหาร) ในอดีตนั้นมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอยู่วัดนี้
คือ หลวงพ่อทับ เจ้าตำรับพระปิดตาที่โด่งดังที่สุด
มีลูกศิษย์มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ หลวงพ่อกล่อม
นี้เอง
หลังจากนั้นก็ได้เริ่มบวชเรียนเป็นสามเณร
เล่าเรียนหนังสืออยู่ที่วัดอนงคารามวรวิหาร
มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมอย่าง
จริงจัง ศึกษาตำรับตำราอย่างถ่องแท้แล้วนั้น
ท่านจึงได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิด โดยแรกเริ่มนั้นหลวงพ่อได้มาจำวัดอยู่ที่วัดบึงท่าช้าง
(ปัจจุบันเป็นวัดร้าง)
อยู่ในเขตบ้านหัวบึง หมู่ที่ 1 ต.พญาแมน อ.พิชัย
จ.อุตรดิตถ์ ขณะที่จำวัดอยู่ที่วัดบึงท่าช้าง ตอนเช้าออกบิณฑบาต
ก็ออกเดินทางไปทางบ้านหัวบึงบ้าง
บ้านท่ามะปรางบ้าง บางวันก็ไปบ้านป่ากะพี้บ้างซึ่งแต่ละที่มีระยะทางไกลมาก
การเดินทางก็ยาก
ลำบากมีแต่ป่าไม้รกทึบสองข้างทาง
และบางวันออกบิณฑบาตมาทางบ้านป่ากะพี้ซึ่งมีระยะทางไกลมากจนไม่สามารถกลับไปฉันอาหาร
เช้าได้ทัน
จำเป็นต้องแวะฉันอาหารเช้าที่วัดป่ากะพี้แทนเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน
จนชาวบ้านป่ากะพี้เห็นท่านเหน็ดเหนื่อยมากต่อการที่
ต้องออกบิณฑบาตเป็นระยะทางไกลๆ
จึงพากันเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันทำที่พักให้ใกล้กับต้นจันทร์สามง่ามซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านป่ากะพี้
โดยมีตาไกร(ไม่ทราบนาสกุล)
เป็นผู้นำชาวบ้านช่วยกันสร้างที่พักรูปทรงคล้ายกับโรงเก็บยาสูบในสมัยก่อน
เมื่อท่านได้มีที่พักแล้ว
ต่อมาจึงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยออกเดินทางบิณฑบาตในระยะทางไกล
ๆ อีก จนต่อมาที่พักดังกล่าวได้กลายมาเป็นวัดป่ากะพี้มาจนถึงทุก
วันนี้
อนึ่งหลวงพ่อกล่อม
ได้มรณะภาพลงในอุโบสถของวัดด้วยอาการสงบ ราวประมาณ
ปี พ.ศ. 2488 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สงบลงได้ไม่นานนัก
วัตถุมงคลของหลวงพ่อกล่อม
วัดป่ากะพี้
หลวงพ่อกล่อมได้สร้าง
พระภควัมบดีหรือพระปิดตา จากข้อมูลพบว่าหลวงพ่อกล่อมท่านแกะพิมพ์พระด้วยตนเอง
วัสดุที่นำมาทำเป็นแม่พิมพ์ก็คือ
หินฝนมีดมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า
และอีกแม่พิมพ์นึงแกะจากไม้เป็นแผงรูปห้าเหลี่ยมหน้าจั่ว
ในแผงมีพระปิดตาพิมพ์เดียวกัน
จำนวน 25 องค์ ในอดีตทางวัดได้เก็บรักษาไว้แต่ต่อมามีผู้ไม่ประสงค์ดีนำแม่พิมพ์ไป(สันนิษฐานว่า
หายไปจากวัดเมื่อประมาณปี
พ.ศ. 2512)
มวลสารที่นำมาสร้างพระปิดตา
ได้แก่
ครั่งพุทรา ซึ่งมีชาวบ้านเก็บมาให้ท่าน นำมาตำผสมผง
ต่อมานายโพธิ์ชาวบ้านหัวบึงซึ่งอยู่หมู่บ้านติดบ้านป่ากะพี้
เป็นผู้หนึ่งที่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อและมีภรรยาเป็นชาวลำปาง
ได้จัดหารักจากจังหวัดลำปางส่งมาให้หลวงพ่อทำพระปิดตาแทนครั่งพุทรา
โดยนำมาประกอบกับส่วนผสมพุทธคุณที่หลวงพ่อทำขึ้น
โดยใช้ดินสอพองเขียนสูตรมนต์คาถาลงบนกระดานชนวน
ท่องมนต์คาถาแล้ว
ลบเอาผงดินสอพองเก็บไว้
ทำเป็นประจำจนได้ผงพอสมควรแล้ว จึงนำมวลสารต่าง
ๆ ตามตำรามาผสมรวมกัน
การกดพิมพ์
หลวงพ่อท่านจะกดพิมพ์เฉพาะวันพระเท่านั้น
โดยกดทีละองค์จนหมดผงที่ผสมไว้ จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง
นำมาทำพิธีปลุก
เสกโดยท่านจะใช้วิธีปลุกเสกเดี่ยวในอุโบสถตลอดระยะเวลา
3 เดือน
สีของเนื้อพระ
พระส่วนใหญ่มีเนื้อสีไม่คงที่
มีทั้งดำสนิท น้ำตาลออกแดง(กะลา) เขียว(ก้านมะลิ)
และบางองค์ออกขาว ทั้งนี้สมัยก่อนบ้าน
ป่ากะพี้ทุรกันดารมาก
การเดินทางต้องใช้เกวียน ทำให้การส่งรักจากลำปางมีความล่าช้าจึงขาดแคลนในบางช่วงทำให้หลวงพ่อจำเป็น
ต้องใช้น้ำล้างรักที่ผสมเหลือแทนบ้าง
บางทีก็ไม่มีทั้งรักทั้งครั่งพุทราก็ต้องใช้ผงล้วน
ๆ ทำให้สีของเนื้อพระแตกต่างกัน และจำนวนที่
สร้างไม่อาจระบุจำนวนได้
เนื่องจากท่านสร้างด้วยแรงศรัทธานั่นเอง
พุทธคุณพระปิดตา
เชื่อว่ามีอานุภาพนานับประการ
ทั้งเมตตามหานิยม คงกะพัน แคล้วคลาด มีแต่สิ่งดีๆ
เข้ามาในชีวิตของผู้มีจิตศรัทธา
พระปิดตาที่ท่านสร้างนั้นไม่ได้นำออกมาจำหน่ายหรือให้เช่า
ผู้ที่จะได้รับต้องไปขอกับท่านเอง และมักมอบให้กับพระภิกษุที่มาลาสิกขา
บท
ท่านจะมอบพระปิดตาให้เพียงคนละ 1 องค์เท่านั้น
และหลวงพ่อมักจะบอกกับลูกสิทธิ์ทุกคนให้หมั่นรักษาศีล
|